To the End of the World
หากคุณเคยจินตนาการถึงอาหารมื้อสุดท้ายของวันสิ้นโลก แต่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แนะนำให้ลองมาสัมผัสประสบการณ์การทานอาหารครั้งใหม่ที่ Na-Oh Bangkok ภายใต้การสร้างสรรค์บรรยากาศสุดหรูของห้องโดยสารเครื่องบินลำใหญ่ที่ได้แรงบันดาลมาจากการเดินทาง โยกย้ายถิ่นฐานไปสู่ผืนแผ่นดินใหม่หรือสถานที่แห่งใหม่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เครื่องบิน Lockheed L-1011 TriStar ลำใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นในโครงการช่างชุ่ย ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่น่าค้นหา เพราะนอกจากโครงสร้างภายนอกจะเป็นเครื่องบินดีไซน์สุดเท่แล้ว ด้านในยังเป็นห้องอาหาร Fine Dinig ในบรรยากาศของ Fine Arts เสิร์ฟคอร์สอาหารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวตามคอนเซ็ปต์ของเรือโนอาห์ที่จะพาทุกชีวิตผ่านพ้นไปสู่โลกแห่งอนาคตด้วยกันอีกด้วย
Jump to Na-Oh
การจะเข้าสู่เครื่องบินลำนี้ ทุกคนที่เข้ามาทานต้องเดินผ่านลิฟท์เก่าแสนคลาสสิกขึ้นมา พร้อมร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับการตกแต่งภายในของทางร้านที่เลือกนำเสนอในคอนเซ็ปต์ของโบราณเลอค่าน่าสะสมมาให้ได้ชมกัน หลากหลายโซนนั่งถูกครีเอทขึ้นมาจากของตกแต่งบางชิ้น บ้างก็มาจากเฟอร์นิเจอร์เก่าที่นำเข้าจากทั่วโลก โดยร้าน Na-Oh Bangkok ได้มีการจัดสรรพื้นที่บนเครื่องบินลำนี้ไว้ได้อย่างคุ้มค่า ส่วนมุมไฮไลต์ของที่นี่ ขอยกให้แก่เหล่าสัตว์สตัฟฟ์หายากจากทั่วทุกมุมโลกที่มาร่วมสร้างบรรยากาศการรวมตัวกันบนเรือช่วยชีวิตแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศการทานมื้อเย็นที่แปลกใหม่ไม่เหมือนที่ไหนเลยจริง ๆ
ด้านอาหาร Na-Oh Bangkok นำเสนอคอร์สอาหารในคอนเซ็ปต์ของการเดินทางสู่โลกใหม่ โดย เชฟโมน-ธีระธาดา Executive Chef วัย 19 ปี ที่ได้ถ่ายทอดมุมมองและความรู้สึกผ่านการรังสรรค์อาหารที่เต็มไปด้วยเรื่องราว รสชาติแปลกใหม่ ให้เหล่านักชิมได้รับรู้ระหว่างที่ทานอาหารแต่ละจาน
Episode 1
โดย Ep.1 เชฟตั้งใจเล่าถึงการพลัดถิ่นด้วย 5 Course (1,500 บาท) เริ่มต้นจานแรกกับ Adrift ถ่ายทอดรสชาติแห่งความเคว้งคว้าง ที่ประกอบไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีอย่าง Fermented Black Bean, Rilettes และ Foie Gras ไส้ด้านในตัวทาร์ตเป็นมูสไก่และครีม ส่วนด้านบนเป็นรสชาติของเนยที่หมักเข้ากับเต้าซี่ แล้วท็อปด้านบนสุดมาด้วยฟัวกราส์
ต่อด้วย Amah ผักหางหงส์ที่ดองด้วยส่วนผสมของน้ำส้มยูซุ มาพร้อมการถ่ายทอดความรู้สึกของการพลัดพราก กับประโยคที่มาพร้อมกับน้ำเสียงซึมเศร้า บอกเล่าความรู้สึกของอาม่า หนึ่งในตัวละครสมมติที่เชฟใช้เป็นตัวแทนส่งต่อความอร่อยของมื้อสุดท้ายก่อนจากลามาขึ้นเครื่องบินลำนี้ว่า “อาม่าฝากมาทานระหว่างเดินทาง”
“หมดสิ้นแล้วเป็นดุษฎี หุบเขาไม่มีอีกแล้ว และผืนป่าผืนน้ำที่อยู่อาศัย” จาก Quote คำพูดของประโยคนี้สู่อาหารจานที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า Fake Fertile หรือความอุดมสมบูรณ์อันแสนจอมปลอม เป็นเมนูเนื้อที่บอกเล่าถึงความสมบูรณ์ที่ยังเหลืออยู่ ต่อด้วย Remain เมนูที่สอดแทรกกลิ่นอายของความเป็นอาหารไตล์จีนด้วยข้าวไรซ์เบอร์รีอบสมุนไพร ท็อปด้านบนด้วยเนื้อหมูที่เคลือบด้วยซอสคาราเมล ถ่ายทอดถึงการเป็นอาหารจานสำคัญที่มาเติมพลังให้อิ่มท้อง มีแรงสู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้
Latest Sweet Dish
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน Sweet Melancholy “ความหวานอันแสนขมขื่น” ที่ให้รสชาติหอมหวานและความเหนียวนุ่มของมันม่วง เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีม Rum Raisin เป็นการผสมผสานรสชาติได้อย่างลงตัว เสมือนให้ของหวานแสนอร่อยจานนี้เป็นความสุขที่หลงเหลือไว้ให้ได้ลิ้มลองหลังผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่นั่นเอง
The Beginning
คอร์สต่อไปคือ 8 Course (2,500 บาท) ที่นำเสนอรสชาติอาหารไปพร้อม ๆ กับถ่ายทอดความรู้สึกของการอพยพ เริ่มด้วยการเสิร์ฟ Hot Beer ภายใต้คอนเซ็ปต์ “จิบเพื่อตระหนักถึงปัจจุบัน ดื่มเพื่อปลอบประโลมใจ เป็นการชำระทุกสิ่งที่ถาโถมเข้ามาพร้อมเป็นผู้รอดชีวิตในโลกใหม่” โดยเมนูนี้เป็นน้ำซุปที่สกัดมาอย่างเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมกับถั่วลูกไก่ ให้รสชาติแปลกใหม่ แต่เข้ากันดิบดี
Dear Jerkey เป็นเมนูอาหารจานพิเศษที่มาพร้อมแนวคิดการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มื้อแห่งการประทังชีวิตด้วยการเสิร์ฟเนื้อกวางแดดเดียวมาให้สัมผัสรสชาติแห่งความโหยหาการมีชีวิตอยู่ ตามมาด้วย Sorrow Marrow เมนูสลัดที่เชฟนำเอาไขกระดูกวัวมาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมสร้างกิมมิกให้เชื่อมโยงไปถึงแหล่งพลังงานของอาหารในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยแหล่งพลังงานจากหลากหลายแห่ง ทั้งพืชและสัตว์ที่ผู้รอดชีวิตนำออกมาแบ่งกันทาน
Congest จานนี้เป็นเนื้อปลาฮามาจิ เสิร์ฟแบบทาร์ทาร์ ได้รสหวานของเนื้อปลาสด ๆ ต่อด้วยเมนู Cold Night ซุปในค่ำคืนอันเหน็บหนาว เมนูนี้เชฟนำเสนอซุปในรูปแบบของทงคัตสึ ที่เลือกใช้วัตถุดิบชั้นดีอย่างหอยแมลงภู่สีน้ำเงินจากท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ครีเอทออกมาเป็นซุปที่มีรสกลมกล่อม ตรงตามจินตนาการที่มีซุปอุ่น ๆ ไว้ทานคลายหนาวยามค่ำคืน
Living Rewards
ก่อนจะเข้าสู่ไฮไลต์คอร์สจานหลักมาให้เลือกทานถึงสองจานคือ Adam และ Eve ซึ่งถือเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่ เริ่มจาก Adam เนื้อ Australian Wagyu ส่วนของ Tenderloin ที่นุ่มที่สุดของวัว เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ดชิตาเกะและหอยเป๋าฮื้อ วัตถุดิบเลอค่าแห่งท้องทะเล ตามด้วยเมนู Eve แทนความนุ่มนวลอ่อนหวานแบบผู้หญิง จานนี้ใช้กุ้งตัวโต เนื้อสดหวาน เสิร์ฟมาพร้อมกับฟัวกราส์และซอส Tropical Vinaigrette สีสันสดใสน่าทาน
ปิดท้ายคอร์สมื้อค่ำสุดประทับใจด้วยเมนูของหวานอีก 2 เมนูคือ Relife ที่มีส่วนผสมของอ้อย รัม กาแฟ และส้ม ให้รสสัมผัสที่หลากหลาย ทั้งรสเปรี้ยวอมหวานของผลไม้ และรสขมของกาแฟ อีกหนึ่งเมนูคือ New Yesterday ที่เสิร์ฟความสดชื่นด้วยโยเกิร์ต ครัมเบิลกรุบกรอบ และองุ่น ที่ผสมผสานรสชาติกันได้อย่างลงตัวอีกเช่นเคย