Wishes To Give Sunflowers in Everybody’s Heart
“Do small things with great love.” คำนิยามนี้อาจใช้ได้ดีทีเดียวสำหรับ Sunflower / ſ พื้นที่สร้างสรรค์งานดีไซน์และศิลปะของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนอัษฎางค์ภายในย่านปากคลองตลาด โดยได้ 2 หนุ่มสาว Co-founder อย่าง ‘หน่อไม้-สุภัทรชัย เชื่อธรรมสอน’ นักออกแบบแห่งทีมดีไซน์ของบริษัท Splendour Solis ร่วมกับ ‘เอิร์ธ-พริษฐ์ตา ธัญญ์สิรินทร์’ เจ้าของสตูดิโอเซรามิกแบรนด์ Flowers in the Vase และแบรนด์ดอกไม้ Flowers in the Mist มาเป็นผู้ดูแล Concept Store แห่งนี้ ด้วยความตั้งใจอันดีที่จะรวบรวมสิ่งละอันพันละน้อยที่พวกเขารัก ถ่ายทอดออกมาให้มีความเป็นคาเฟ่สโลว์บาร์ สตูดิโอเซรามิก ร้านดอกไม้ ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปงานคราฟต์ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการจัดดอกไม้และงานปั้นเซรามิกเข้าไว้ด้วยกันในรูปแบบของ Sharing Space เพื่อให้กลุ่มคนที่มีความชอบและความหลงใหลในสิ่งเดียวกันได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์พร้อมแชร์ไอเดียดี ๆ ร่วมกัน รวมถึงได้เข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์ต่าง ๆ ภายใต้ชายคาบ้านดอกทานตะวัน เหมือนเป็นการหยิบยื่นความสดใสและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ทุกคนที่เข้ามาในร้านได้หัวใจเบิกบานไม่ต่างจากการได้รับดอกทานตะวัน
“Sunflower / ſ เป็นเหมือน Space หรือ Community หรือจุดเริ่มต้นของการแนะนำให้คนได้เข้ามาทำความรู้จักตัวตน จากสิ่งที่ทางแบรนด์ตั้งใจสื่อสารและทำออกมาผ่านรูปแบบต่าง ๆ” - หน่อไม้-สุภัทรชัย เชื่อธรรมสอน
Art and Design Studio
พื้นที่ภายในร้านถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นแบบ Sharing Space สร้างสรรค์สตูดิโอห้องทำงานจากสิ่งที่มีและสิ่งที่ชอบ โดยแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นโซนต่าง ๆ ได้แก่ ชั้นบน โซนออฟฟิศของ Splendour Solis, โซนสตูดิโองานเซรามิกของ Flowers in The Vase
และ ชั้นล่าง ไว้สำหรับเป็นโซนป๊อปอัพสโตร์ จำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์แนว Zero Waste จากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ดีต่อโลกและดีต่อวิถีชีวิตของผู้คน ภายใต้แนวคิด Sustainable Lifestyle, ดิสเพลย์งานดอกไม้ รวมถึงเป็นพื้นที่สำหรับเวิร์คช็อปจัดดอกไม้และงานเซรามิก
พร้อมเพิ่มเติมพื้นที่ในส่วนของสโลว์บาร์กาแฟที่คุณหน่อไม้ชื่นชอบเป็นพิเศษ (คุณหน่อไม้ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจและมักดริปกาแฟให้เพื่อน ๆ ในทีมดื่มอยู่เสมอ) โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น
Sunflower Store and More
‘Sunflower’ มีที่มาจาก Splendour Solis ชื่อบริษัทของคุณหน่อไม้ สื่อถึงความงามของพระอาทิตย์ (อ้างอิงมาจากตำรานักเล่นแร่แปรธาตุ เป็นการมองงานออกแบบให้เหมือนกับการเล่นแร่แปรธาตุ สามารถต่อยอดงานได้หลากหลายแขนง หรือที่เรียกว่า 'Multidisciplinary Design') บวกกับความชอบดอกไม้ของคุณเอิร์ธ จึงตั้งชื่อร้านให้มีความหมายที่สอดคล้องกัน บ่งบอกถึงความเป็นดวงอาทิตย์และดอกไม้ภายใต้ชื่อของ ‘ดอกทานตะวัน’ ก่อนจะแตกไลน์ออกมาเป็นร้านดอกไม้ที่ชื่อว่า Flowers in The Mist และแบรนด์เซรามิกที่ชื่อว่า Flowers in The Vase (จากความต้องการนำดอกไม้มารวมไว้กับงานเซรามิก) เรียกได้ว่าเป็นการตั้งชื่อแต่ละแบรนด์ให้มีความเชื่อมโยงกันมากที่สุด เพราะทั้ง 3 สตูดิโอล้วนมีความเกี่ยวพันกันระหว่างดอกไม้และพระอาทิตย์
ประเดิมการสำรวจที่ โซน Flowers in The Mist แบรนด์ดอกไม้ที่เริ่มต้นมาจากการจัดดอกไม้รูปแบบออนไลน์ให้กับทางโรงแรม งานแต่งงาน และงานป๊อปอัพอีเวนต์ รวมถึงการเวิร์คช็อปตามช่วงเทศกาลและฤดูกาลต่าง ๆ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ดอกไม้ที่สดใหม่และจัดดอกไม้ที่เน้นกำหนดธีมสี พร้อมนำเสนอหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การจัดช่อดอกไม้, การจัดดอกไม้ในตะกร้า, ดอกไม้ในกล่องแก้ว, แหวนดอกไม้ และมงกุฏดอกไม้ที่ดีไซน์ออกมาแบบเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความหมายดี ๆ ที่สื่อออกมาผ่านดอกไม้หลากหลายชนิด
ส่วนการจัดเวิร์คช็อป คอนเซ็ปต์หลักของทางร้านจะเป็นในลักษณะของธีมช่วงฤดูกาล (Seasonal Workshop) เช่น ฤดูฝน จะเป็นการจัดเวิร์คช็อปภายใต้ธีม ‘After The Rain’ ซึ่งโทนสีที่ใช้ในการจัดดอกไม้นั้นจะเลือกใช้ตามชนิดของดอกไม้ที่มักเบ่งบานในช่วงฤดูฝน เป็นต้น
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมเวิร์คช็อป ทางร้านจะรับสมัครผู้ร่วมกิจกรรมในจำนวนจำกัด (ประมาณ 6-10 คน) ซึ่งในแต่ละครั้งจะรวมคอร์สค่าใช้จ่ายแบบแพ็คเกจ โดยรวมอุปกรณ์และเครื่องดื่มจากทางสโลว์บาร์ ความพิเศษก็คือทางร้านจะครีเอตเซ็ตเครื่องดื่มให้มีความเชื่อมโยงกับธีมของการจัดดอกไม้อยู่เสมอ ราคาเริ่มต้นที่ 2,500-3,000 บาท ภายในคอร์สจะเริ่มต้นสอนนับตั้งแต่เรื่องของทฤษฎีการจัดดอกไม้ อาทิ การเลือกใช้ดอกไม้ (โทนสีและการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้), เรียนรู้ประเภทของดอกไม้, ลักษณะและคุณสมบัติพิเศษของดอกไม้แต่ละชนิด ไปจนถึงภาคปฏิบัติ ลงมือจัดดอกไม้ พร้อมเรียนรู้การดูแลดอกไม้ที่จัดให้อยู่ได้นานขึ้น, เทคนิคการจัดองค์ประกอบดอกไม้ให้สวยงาม และการตกแต่งเพิ่มเติม
ตามมาด้วย โซนสตูดิโอเซรามิก Flowers in The Vase แบรนด์เซรามิกที่โดดเด่นด้วยการขึ้นรูปด้วยมือทุกชิ้นงานผ่านเทคนิค ‘Nerikomi’ หรือ ‘การตัดต่อดินสี’ สไตล์ญี่ปุ่น เป็นการนำดินสีต่าง ๆ มาทับซ้อนกัน วางเลเยอร์สีของดินสลับเป็นชั้น ๆ ซึ่งในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะงานแต่ละชิ้นใช้ระยะเวลานานและต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ ตัดต่อจนเกิดเป็นลวดลาย ซึ่งปรากฏให้เห็นทั้ง 2 ด้านภาชนะ ทั้งด้านในและด้านนอก ความพิเศษของเทคนิคนี้ก็คือ งานแต่ละชิ้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีชิ้นไหนที่เหมือนกัน ทำให้ผลงานมีความสวยงามตามธรรมชาติและมีความสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง
ด้วยชิ้นงานเซรามิกที่ให้สีสันและมีลักษณะคล้ายกับเฉดสีของท้องฟ้า แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร จึงทำให้แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผ่านภาพลักษณ์ที่สามารถเป็นได้ทั้ง Artist, Product และงาน Craft งานเซรามิกที่ออกแบบมาแต่ละชิ้นถูกครีเอตเป็นรายคอลเลกชัน พร้อมจัด Exhibition แสดงผลงานด้วย บ้างก็ทำโปรเจ็กต์พิเศษร่วมกับศูนย์การค้าหรือแบรนด์อื่น ๆ แล้วผลิตสินค้าออกมาแบบจำนวนจำกัด
คาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นของแบรนด์เซรามิก คือการเลือกนำเสนอชิ้นงานสื่อสารผ่านเรื่องราวของธรรมชาติ ฟอร์มเรียบง่าย แต่โดดเด่นที่ลวดลาย บวกกับมู้ดอารมณ์ความรู้สึกที่แบรนด์ตั้งใจสื่อสารออกไป เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เซรามิกทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ จานชาม หรือสินค้าอื่น ๆ สื่อความหมายได้หลาย ๆ แบบ (ราคาแก้วน้ำเซรามิก เริ่มต้นที่ 990-3,000++ บาท ขึ้นอยู่กับเทคนิคและประเภทของชิ้นงาน) ซึ่งบางคนก็อาจนิยามว่าเป็นผลงานทางศิลปะ เพราะให้คุณค่ากับตัวสินค้ามากกว่าใช้เป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารและเครื่องดื่ม เกิดการจดจำและบ่งบอกความเป็นแบรนด์ได้อย่างดี
ตัวอย่างคอลเลกชันผลงานที่สร้างชื่อ ได้แก่ MOONSOON : Exhibition of Ceramic Memoirs ที่ทางแบรนด์ได้ทำร่วมกับศูนย์การค้า Siam Discovery โดยเป็นการจัดแสดงนิทรรศการเซรามิกบันทึกความทรงจำของฤดูมรสุม ซึ่งเป็นการสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก ผ่านสีสันของท้องฟ้าและฤดูกาล ณ ขณะนั้น
ตัวอย่างคอลเลกชันผลงานล่าสุดคือ “I wanna know how the sky with coffee taste like” (2,490 บาท / ชิ้นงาน) ดริปเปอร์กาแฟที่เลือกนำเสนอรสชาติของท้องฟ้าและเรื่องราวธรรมชาติผ่านกาแฟดริป จึงกลายมาเป็น 'ดริปเปอร์' คอลเลกชันพิเศษ ที่มีเพียง 15 ชิ้น เท่านั้น!
ผลงานเซรามิกส่วนใหญ่มีจำหน่ายแบบจำนวนจำกัด โดยทางทีมต้องการให้พื้นที่ภายในร้านเป็นเหมือน Studio โชว์ผลงานและเบื้องหลังการทำงาน ซึ่งในอนาตตอาจจะเปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจได้เข้าชม Ceremic Studio เพื่อจะได้เข้ามาสัมผัสชิ้นงาน ทำความรู้จักกับแบรนด์ Flowers in The Vase มากขึ้น รวมถึงการจัดเวิร์คช็อปกลุ่มแบบ Private พร้อมจัดแสดง Pop-Up Exhibition สำหรับโปรโมทเซรามิกคอลเลกชันต่าง ๆ
นอกจากทางร้านจะวางจำหน่ายแก้วเซรามิกของทางแบรนด์แล้ว ยังมีสินค้าไลฟ์สไตล์อื่น ๆ อีกมากมายที่เป็น Co-Partner ร่วมกับแบรนด์อื่น ๆ ให้ได้เลือกช้อปอีกด้วย เสมือนที่นี่เป็นอีกหนึ่ง Community เล็ก ๆ สำหรับคนรักงานเซรามิกโดยเฉพาะ
Saturday (Slow) Bar
มาถึงโซนสุดท้ายกับ Saturday Bar สโลว์บาร์กาแฟวันเสาร์อันเกิดขึ้นจากงานอดิเรก ความชอบดื่มและชอบดริปกาแฟของคุณหน่อไม้ล้วน ๆ โดยเขาตั้งใจให้บริเวณชั้นล่างของตึกเป็นมุมสโลว์บาร์เล็ก ๆ ที่พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนใหม่ให้ได้ลองเปิดประสบการณ์ดื่มกาแฟดริปตามที่แต่ละคนชื่นชอบ
กาแฟดริปแต่ละเมนูที่เลือกนำมาเสิร์ฟ ส่วนใหญ่ทางคุณหน่อไม้จะเป็นผู้การคัดเลือกเมล็ดกาแฟด้วยตัวเอง โดยจะเลือกเมล็ดกาแฟจากหลากหลายแหล่งทั้งเมล็ดพันธุ์ไทยและต่างประเทศที่เคยได้ลองชิมแล้วประทับใจทั้งสิ้น โดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนเมล็ดกาแฟมาให้ลองดื่มกันตลอดทั้งปี ก่อนจะค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์จากการเรียนรู้ด้วยตนเองและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ จึงเริ่มปรับสูตรในการทำกาแฟ จนกระทั่งได้คาแร็กเตอร์ของกาแฟที่ชัดเจนมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านกาแฟจริงจัง แต่ทางร้านก็มีลูกค้าประจำแวะเวียนมาดื่มอยู่เสมอ ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเอง เพื่อให้เหล่าคอกาแฟทั่วไปและสายดริป ได้จิบกาแฟพร้อมนั่งพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ดื่มกาแฟร่วมกัน
หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการเสิร์ฟกาแฟแบบ ‘Omakase Coffee’ ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบที่คล้ายกันกับศาสตร์ของการดื่มวิสกี้หรือคราฟต์เบียร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับคาแร็กเตอร์ของเมล็ดกาแฟที่มีหลากหลายแบบให้เลือกนำมาดริป เพื่อกลิ่น รสชาติของกาแฟที่แตกต่างกันออกไป เป็นการหา balance และ after taste ของกาแฟในแบบที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ความพิเศษในวันเสาร์บางสัปดาห์ ทางร้านจะครีเอตเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากเมนูกาแฟ โดยเมนูซิกเนเจอร์ที่นิยมเสิร์ฟความสดชื่นระหว่างวัน ทั้งแบบดื่มที่ร้านและแบบเดลิเวอรี ได้แก่ Cold Brew Set (ราคาเริ่มต้นที่ 150 บาท) กาแฟโคลด์บรูว์ที่ผ่านกระบวนการจากเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ต่าง ๆ, Latte Set (ราคาเริ่มต้นที่ 120 บาท / ขึ้นอยู่กับเมล็ดกาแฟแต่ละสายพันธุ์) กาแฟลาเต้หรือกาแฟนมที่เลือกชูรสชาติของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิด ในอัตราส่วนที่มากกว่าส่วนผสมของนม
ส่วนใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ทางร้านก็มีเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อื่น ๆ ให้ได้เลือกสั่งอย่าง Thai Tea Craft (ราคาเริ่มต้นที่ 100 บาท) ชาไทยที่ให้รสชาติกลมกล่อมหอมหวานของชาแบบกำลังดี และ Sunflower Drinks หรือ Seasonal Drinks เมนูเครื่องดื่มพิเศษที่จะเปลี่ยนธีมวัตถุดิบไปในทุก ๆ 5 เดือน หรือตามช่วงฤดูกาล
บรรยากาศของการดริปกาแฟในช่วงวันเสาร์ คุณหน่อไม้จะลงมือเสิร์ฟกาแฟดริปด้วยตัวเอง ไม่ว่าแต่ละคนจะอยากดื่มแบบไหน หรือรสชาติอย่างไร เขาก็พร้อมชงให้ด้วยความยินดี ได้ฟีลแบบเป็นกันเอง เหมือนได้นั่งดื่มกาแฟบ้านเพื่อนที่เป็นบาริสต้ายังไงอย่างนั้น ซึ่งวันธรรมดาในบางวัน สำหรับใครที่อยากดื่มกาแฟก็สามารถ inbox เข้ามาสอบถามกับทางร้านก่อนล่วงหน้าได้ด้วย เพราะหากโชคดีคุณอาจจะได้ดื่มกาแฟฝีมือการดริปจากคุณหน่อไม้ก็เป็นได้!
ไม่ว่าจะเลือกนิยามร้าน Sunflower / ſ ไว้ว่าอย่างไร...สตูดิโอเซรามิก, ร้านดอกไม้, ออฟฟิศงานดีไซน์ หรือคาเฟ่สโลว์บาร์ก็ตาม พื้นที่แห่งนี้ก็พร้อมแชร์ประสบการณ์ดี ๆ ให้ผู้ที่สนใจหรือต้องการทำสิ่งต่าง ๆ ที่แต่ละคนชอบร่วมกัน เพื่อจุดประกายความรักและความฝันดังเช่นดอกทานตะวันที่กำลังเบ่งบาน